Tuesday, October 19, 2010

การลบ Tag ภาพ ใน facebook

การลบ Tag ภาพ ใน facebook

นับ วันดูเหมือนว่า facebook จะกลายเป็นแหล่งเป้าหมายที่บรรดานัก Spammer ใข้เป็นแหล่งทำการตลาดแบบ ไร้จรรยาบรรณ" มากขึ้นทุกวี่ทุกวัน จนสร้างความรำคาญให้กับพวกเราสมาชิกชุมชนชาว facebook กันถ้วนหน้า

ทุก ๆ เช้าเมื่อเข้าเช็คเมล์ มักจะเจอข้อความจาก Facebok แจ้งว่า...มีใครบางคนได้แท็กภาพที่มีคุณ หากต้องการดูภาพ ให้คลิกตามลิงก์ด้านล่างนี้
ซึ่งเมื่อเราคลิกลิงค์เข้าไปก็จะเจอ ภาพ"ดิสเพล์" หน้าตาจิ้มลิ้มสวยงามอย่างที่เห็น พร้อมข้อความแนะนำตัว และรายละเอียดงานที่พวกเขาทำ...


นาน ๆ ครั้ง ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนช่วงนี้จะมีเยอะขึ้นทุกวัน และบ่อยมากจนน่ารำคาญเป็นทีุ่สุด คงจะมีเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่อยากจะรู้ว่าจะลบ Tag ภาพที่ไม่พึงประสงค์นี่ออกได้อย่างไร??? เรามาดูวิธีการการลบเจ้า Tag ภาพ ที่ว่ากันเลยดีกว่าน่ะค่ะ

เมื่อ คุณคลิกเข้าไปยังลิงค์ที่แจ้งมาในเมล์ ก็จะเจอภาพตามที่เราโพสต์ให้ดูด้านบนนั้นแล้วน่ะค่ะ และด้านล่างของเจ้าภาพดังกล่าว สังเกตุดี ๆ จะมีรายชื่อบุคคลต่าง ๆ ที่เป็นตกเหยื่อโดน Tag ภาพ อย่างเราเช่นกัน....


ตั้งสติดี ๆ แล้ว ค่อย ๆ ไล่หาชื่อของคุณ ให้เจอ "ชื่อคุณ (รูปภาพlลบป้ายชื่อ)" เห็นแล้วทีนี้คงไม่ต้องบอกแล้วน่ะค่ะ ว่า คุณจะต้องทำอย่างไรต่อไป...อิ อิ

ทำในสิ่งที่คุณอยากทำที่สุดนั่นหล่ะค่ะ คลิกตรง "ลบป้ายชื่อ" แค่นี้ เจ้ารูปภาพเจ้าปัญหาที่มาสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ ๆ ก็จะอันตธานหายไป...

เอา หล่ะค่ะ หวังว่าบทความในวันนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังเบื่อหน่าย และรำคาญใจกับการทำการตลาดจากพวก Spammer ใน facebook กันน่ะค่ะ

ส่วนตัววรรณก็เป็นนักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ที่มองเห็น ประโยชน์จากการทำการตลาดผ่าน Social media อย่าง facebook เช่นกัน แต่สิ่งที่เราควรคำนึงถึงในการทำธุรกิจ คือ การทำการตลาดที่โปร่งใส ชัดเจน สิ่งสำคัญเราจะต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วย อย่าล่วงละเมิดก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น คุณจะได้ไม่โดนทำโทษโดยการลบชื่อคุณออกจากรายชื่อผู้ติดต่อของเพื่อน ๆ ที่เค้าตอบรับมิตรภาพดี ๆ ที่มีให้กันในเบื้องต้นน่ะค่ะ

หากบทความนี้ดีมีประโยชน์ อย่าลืมคลิกเพื่อแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ของคุณน่ะค่ะ
Bookmark and Share
Credit : แหล่งบริการ Bookmark และ Sharing Button สวย ๆ Under Creative Commons License: Attribution


Read more: การลบ Tag ภาพ ใน facebook | ธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีนออนไลน์ [Giffarine] MLM-แฟรนไชส์-รายได้เสริม-งานพาร์ทไทม์
Under Creative Commons License: Attribution
Monday, October 11, 2010

17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่5 : คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส
คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

คนจนตัดสินใจโดยยึดติดกับความกลัว ในทุกสถานการณ์สมองของพวกเขาจะเฟ้นหาแต่ข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่อาจกลายเป็น เรื่องผิดพลาด ความคิดหลักๆในหัวของพวกเขาคือ "แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ?" หรือที่บ่อยครั้งกว่านั้นคือ "มันไม่ได้ผลหรอก"

ชนชั้นกลางมองโลกในแง่ดีกว่าหน่อย พวกเขาชอบคิดว่า "ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ"

ส่วน คนรวย พวกเขารับผิดชอบต่อผลลัพธ์ในชีวิตของตัวเอง และทำสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดในทำนองที่ว่า "มันต้องได้ผลแน่เพราะฉันจะทำให้มันได้ผล"

คนรวยคาดหวังความสำเร็จ พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง

ยิ่งรางวัลตอบแทนมีค่ามากเท่าไหร่ คุณก็ต้องยอมเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากคนรวยมองเห็นโอกาสตลอดเวลา พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง

คนรวยเชื่อว่าถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายจนกระทั่งย่ำแย่ถึงขีดสุด พวกเขาก็มีวิธีหาเงินกลับคืนมาได้เสมอ

ใน ทางกลับกันคนจนคาดหวังแต่ความล้มเหลว พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเองและความสามารถของพวกเขา คนจนเชื่อว่าถ้าสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด นั่นหมายถึงหายนะ และเนื่องจากพวกเขามักมองเห็นแต่อุปสรรค พวกเขาจึงมักไม่ยอมเสี่ยง และเมื่อไม่ยอมเสี่ยง พวกเขาก็ไม่ได้รับรางวัลตอบแทน

แม้คนจนจะ อ้างว่าตนเองกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาส สิ่งที่พวกเขาทำจริงๆก็คือ การนั่งเฉย พวกเขากลัวจนหัวหด เอาแต่กระแอมไอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นปีๆ และเมื่อถึงเวลานั้น โอกาสก็หายสาบสูญไปแล้ว

ประเด็น ก็คือ ไม่มีทางที่โชค...หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า...จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลง มือทำการใดๆ หากต้องการความสำเร็จทางการเงิน คุณต้องทำอะไรบางอย่าง

กุญแจสำคัญอีกอย่างคือ คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการอีกเช่นเคย

กฎครอบจักรวาลระบุว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะยิ่งเพิ่มขยายผล"

เพราะ คนรวยให้ความสนใจกับโอกาสในทุกสถานการณ์ พวกเขาจึงได้รับโอกาสมากมาย ตรงข้ามกับคนจน เพราะคนจนให้ความสนใจกับอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจึงได้รับแต่อุปสรรค

จงให้ความสนใจกับโอกาส แล้วคุณก็จะได้รับโอกาส

ชีวิต คุณไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว คุณไม่ควรใช้เวลาทั้งชีวิตเฝ้าดับไฟ คนที่ทำอย่างนั้นคือคนที่ก้าวถอยหลัง! คุณควรใช้เวลาและพลังที่มีไปกับการคิดและลงมือทำ ก้าวอย่างมั่นคงไปข้างหน้า ไปสู่เป้าหมายของคุณ

ถ้าคุณอยากรวยจงมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน การเก็บเงิน และการลงทุน ถ้าคุณอยากจน จงมุ่งความสนใจไปที่การใช้เงิน

มัน เป็นเรื่องเหลวไหลถ้าจะคิดว่าคุณสามารถล่วงรู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นเรื่องหลอกลวงถ้าจะเชื่อว่าคุณสามารถเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าและป้องกันตนเองได้ คุณรู้ไหมว่าในจักรวาลนี้ไม่มีเส้นตรง? ชีวิตก็ย่อมไม่ได้ดำเนินไปตามเส้นที่ตรงสุดๆเช่นเดียวกัน มันเคลื่อนที่ไปเหมือนสายน้ำที่คดเคี้ยว บ่อยครั้ง คุณสามารถเห็นได้เพียงหัวโค้งข้างหน้า และเมื่อคุณไปถึงหัวโค้งนั้นแล้วนั่นแหละ คุณจึงจะเห็นทางโค้งอื่นๆ ที่ทอดรออยู่

ผมมีคำขวัญประจำใจว่า "การลงมือทำดีกว่าการไม่ลงมือทำ"

คน รวยกล้าเริ่มต้น พวกเขาเชื่อว่าเมื่อพวกเขาร่วมเล่นเกมแล้ว พวกเขาจะสามารถใช้ไหวพริบตัดสินใจได้ในทุกขณะ พร้อมทั้งแก้ไขถูกผิด และปรับหางเสือขณะแล่นเรือไปตามทาง

คนจนไม่เชื่อมั่นใน ตัวเองหรือความสามารถของตน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าจะต้องรู้ทุกๆอย่างล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ยอมเปิดฉากลุยเสียที!

คนจนเอา แต่บอกตัวเองว่า "ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะรู้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด และรู้อย่างแน่ชัดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร" ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางลงมือทำอะไร และกลายเป็นฝ่ายแพ้เสมอ

คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง "เตรียมตัว" อยู่น่ะสิ!

(จาก หนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป)

ที่มา www.oknation.net/blog/dy22/2009/08/22/entry-7

17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่4 คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก

คนรวยคิดการใหญ่
คนจนคิดการเล็ก

คุณจะได้รับเงินเท่ากับมูลค่าของตัวคุณในท้องตลาด

ปัจจัย ที่บ่งบอกมูลค่าของคุณในท้องตลาดมี 4 ประการ นั่นคือ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ และปริมาณ จากประสบการณ์ของผม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่คือ ปริมาณ ซึ่งหมายถึง ปริมาณงานที่คุณสามารถทำได้ในสาขาอาชีพนั้นๆ

พูดอีกอย่างก็คือ คุณสามารถให้บริการหรือสร้างผลกระทบกับจำนวนคนมากแค่ไหน?

ผม เคยเป็นเจ้าของฟิตเนส ตั้งแต่นาทีแรกที่ผมคิดจะทำธุรกิจนั้น ผมตั้งใจจะเปิดสาขาให้ประสบความสำเร็จสักร้อยแห่งและให้บริการคนป็นหมื่นๆคน ในทางกลับกัน คู่แข่งของผมซึ่งเริ่มทำธุรกิจนี้หลังจากผมหกเดือน คาดหวังแค่การสร้างฟิตเนสที่ประสบความสำเร็จเพียงสาขาเดียวเท่านั้น สุดท้ายแล้ว เธอจึงมีฐานะแค่พออยู่ได้ ขณะที่ผมร่ำรวย!ณค่าให้ช

หนึ่งในนักประดิษฐ์และนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราคือ บัคมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ เขาเคยกล่าวไว้ว่า

"จุดประสงค์ในชีวิตของเราคือการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้และยุคต่อๆไป"

เรา ต่างถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกพร้อมกับพรสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีโดยธรรมชาติ คุณได้รับของขวัญพิเศษนี้ด้วยเหตุผลประการเดียว นั่นคือ เพื่อนำไปใช้และแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีความสุขที่สุดคือคนที่ใช้พรสวรรค์ของตนอย่างเต็มที่

หนึ่ง ในภารกิจแห่งชีวิตของคุณคือการแบ่งปันพรสวรรค์และคุณค่าของคุณให้ผู้คนจำนวน มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นหมายถึงการเต็มใจที่จะคิดการใหญ่

คุณ รู้ความหมายของคำว่า ผู้ประกอบการหรือเปล่า? ในการสัมมนาของเรา เราให้คำจำกัดความกับมันว่า "ผู้แสวงหาผลกำไรจากการช่วยคนอื่นแก้ปัญหา" ใช่แล้ว อาชีพนี้ไม่ต่างอะไรจาก "นักแก้ปัญหา"

ยิ่งคุณช่วยคนมาก คุณก็จะ "ร่ำรวย" ยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านจิตใจ อารมณ์ จิตวิญญาณ และที่แน่ๆ ก็คือ ด้านการเงิน

ผมเห็นผู้คนมากมายที่คิดแต่เรื่องเล็กๆ และผู้คนอีกมากมายที่ปล่อยให้ตัวตนซึ่งยึดติดกับความกลัวมีอำนาจควบคุมชีวิต ผลก็คือพวกเราจำนวนมากไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยศักยภาพขั้นสูงสุดที่ตัวเองมี ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและการอุทิศตนให้ผู้อื่น

มาเรียน วิลเลียมสัน ผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ A Return to Love เขียนไว้ดังนี้

"คุณ คือบุตรของพระเจ้า การทำแต่สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่การรับใช้โลก การหดตัวให้ลีบเล็กเพื่อคนอื่นๆ รอบตัวจะได้ไม่รู้สึกหวาดหวั่นนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เราต่างถูกลิขิตมาให้เปล่งประกายเฉกเช่นเด็กตัวน้อย เราถือกำเนิดมาเพื่อแสดงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งสถิตย์ในตัวเราให้ เป็นที่ประจักษ์ มันไม่ได้มีอยู่เพียงแต่ในตัวเราบางคน มันมีอยู่ในทุกคน

และ เมื่อเราปล่อยให้แสงสว่างในตัวเราเจิดจ้า เท่ากับเราได้อนุญาตให้คนอื่นทำเช่นเดียวกันโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราปลดเปลื้องตัวตนจากความกลัวของเราเอง การดำรงอยู่ของเราก็จะปลดเปลื้องคนอื่นไปด้วยโดยอัตโนมัติ"

ท้าย ที่สุด การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจ ในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!

(จากหนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป )

ที่มา www.oknation.net/blog/dy22/2009/08/22/entry-8

17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่3 : คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย

คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย
คนจนแค่อยากรวย

ถามคนส่วนใหญ่ดูสิว่าพวกเขาอยากรวยไหม พวกเขาจะมองหน้าคุณเหมือนเห็นคนสติไม่ดี "แน่นอน ฉันอยากรวย" พวกเขาจะตอบอย่างนี้

ทว่า ความจริงก็คือคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรวยจริงๆหรอกครับ

เพราะอะไรน่ะหรือ?
เพราะพวกเขามีข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับความร่ำรวยซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งบอกว่าการเป็นคนรวยเป็นเรื่องที่ผิด

"ฉันจะไม่มีวันรู้เลยว่าคนอื่นชอบฉันที่ตัวฉันหรือเงินของฉัน"
"ฉันต้องเสียภาษีอานและต้องจ่ายเงินครึ่งหนึ่งของฉันให้รัฐบาล"
"ต้องทำงานหนักเกินไป"
"เสียสุขภาพแย่"
"ทุกคนคงอยากไถเงินฉัน"
"ฉันอาจถูกปล้น"
"เดี๋ยวลูกๆฉันโดนลักพาตัว"
"มัน ต้องรับผิดชอบมากเกินไป ฉันต้องบริหารเงินทั้งหมดนั่น ต้องทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนให้กระจ่าง ต้องกังวลเรื่องกลยุทธ์ทางภาษีและการปกป้องทรัพย์สิน และต้องจ้างนักบัญชีกับทนายแพงๆมาช่วยดูแล เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด"
และอีกสารพัดสารเพ...

ลอง คิดแบบนี้ก็ได้ครับ สวรรค์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ก็คล้ายแผนกส่งของตามสั่ง ที่ทำหน้าที่ส่งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆมาให้คุณอย่างต่อเนื่อง คุณ "สั่ง" ด้วยการส่งคลื่นความคิดไปยังสวรรค์ ผ่านความเชื่อที่เด่นชัดที่สุดของคุณ ด้วยกฎแห่งแรงดึงดูด สวรรค์จะตอบตกลงและบันดาลทุกอย่างให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่ถ้าแฟ้มข้อมูลของคุณมีความสับสนปนเป สวรรค์ก็จะไม่เข้าใจว่าคุณอยากได้อะไรกันแน่

ตอน แรกเมื่อสวรรค์ได้ยินว่าคุณอยากรวย สวรรค์ก็จะเริ่มส่งโอกาสแห่งความมั่งคั่งมาให้คุณ แต่เมื่อได้ยินคุณบอกว่า "คนรวยโลภมาก" สวรรค์จะช่วยให้คุณมีเงินน้อย จากนั้นคุณก็คิดว่า "การมีเงินมากๆ จะช่วยให้ชีวิตรื่นรมย์ขึ้นเยอะเลย" และแล้วสวรรค์ที่น่าสงสาร ซึ่งทั้งสับสนและมึนงง ก็จะเริ่มส่งโอกาสทางการเงินครั้งใหม่มาให้ วันต่อมาคุณอยู่ในอารมณ์เซ็งๆ และคิดว่า "เงินไม่ได้สำคัญขนาดนั้นสักห่อย" สวรรค์ที่กำลังหงุดหงิดจึงได้แต่กรีดร้องว่า "ตัดสินใจซะทีสิ! ข้าจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ แค่บอกซะทีว่าจะเอาอะไรกันแน่"

เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

คน รวยรู้อย่างแน่ชัดว่าตัวเองต้องการความมั่งคั่ง พวกเขาไม่โลเลไปมา พวกเขามุ่งมั่นเต็มที่ที่จะสร้างฐานะ ตราบใดที่มันถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม และถูกจรรยาบรรณ พวกเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำเพื่อความร่ำรวย คนรวยไม่ส่งสารอันสับสนสู่สวรรค์ มีแต่คนจนเท่านั้นที่ทำกัน

(ขณะ ที่คุณอ่านย่อหน้านี้ ถ้าเสียงเล็กๆในหัวคุณแย้งขึ้นทำนองว่า "คนรวยไม่สนหรอกว่าจะถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม และถูกจรรยาบรรณหรือเปล่า" แสดงว่าคุณทำถูกแล้วที่อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะค้นพบในไม่ช้าว่าวิธีคิดแบบนั้นเป็นตัวบ่อนทำลายตนเองอย่างร้ายกาจ)

ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการเสมอ...สิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดว่าต้องการ

คุณสังเกตไหมว่าความอยากไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ "การมี" เสมอไป

ลอง สังเกตอีกอย่างว่าความอยากโดยไม่ได้มันมาจะนำไปสู่ความอยากมากยิ่งขึ้น ความอยากจะกลายเป็นนิสัยและนำไปสู่ความอยากได้อยากมีอย่างไร้จุดจบ กลายเป็นวังวนที่ไม่คืบหน้าไปไหน ลองคิดดูง่ายๆก็แล้วกัน คนเป็นพันๆ ล้านอยากร่ำรวย แต่มีไม่กี่คนหรอกที่รวย

"ฉันมุ่งมั่นที่จะเป็นคนรวย"

คำจำกัดความของคำว่า มุ่งมั่น คือ "การทุ่มเทแบบไม่มียั้ง"

ซึ่ง หมายถึงการลงแรงลงใจเต็มที่ ทุ่มเททุกสิ่งที่คุณมีเพื่อความมั่งคั่ง มันหมายถึการเต็มใจทำทุกอย่างที่ต้องทำด้วยเวลาทั้งหมดที่คุณมี นี่คือวิถีทางของนักรบ ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีคำว่าบางที...และความล้มเหลวก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

วิถีทางของนักรบคือ "ฉันต้องรวยหรือไม่ก็พยายามจนขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง"

เอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมุ่งมั่นที่จะเป็นคนรวย ถ้าคุณถามพวกเขาว่า "คุณจะกล้าพนันไหมว่าภายในสิบปีข้างหน้าคุณจะรวย?" คนส่วนใหญ่จะบอกว่า "ไม่มีทาง!" นั่นคือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน การไม่ยอมทุ่มเทที่จะเป็นคนรวยนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาไม่รวยเสียที และมีแนวโน้มว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยด้วย

(เสริมนะคะ : ข้อนี้คุณตัน โออิชิ เป็นคนนึงที่กล้าประกาศตัวออกมากับเพื่อนๆตั้งแต่สมัยที่เค้ายังไม่มีอะไร เลย ทำนองว่า "อีก 10 ปีข้างหน้าเมื่อเรากลับมาเจอกัน เค้าจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จให้ได้" จนกระทั่งในที่สุดก็กลายมาเป็น "ตัน โออิชิ" อย่างที่เรารู้จักกันค่ะ หรืออย่าง Jim Carrey สมัยที่ยังไม่ดัง ก็เขียนเช็คล่วงหน้าให้ตัวเองเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก และประกาศว่านี่คือค่าตัวที่เค้าจะต้องได้ จากนั้นก็พกเช็คใบนั้นไว้ติดตัว จนในที่สุดทุกวันนี้เค้าก็สามารถได้ค่าตัวหลายสิบล้านดอลล่าร์ มากกว่าที่เค้าเคยเขียนไว้ซะอีก)


คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงินมักมีข้อจำกัดว่าพวกเขาจะยอมทำแค่ไหน ยอมเสี่ยงแค่ไหน และยอมสละแค่ไหน

การ เป็นคนรวยต้องอาศัยความตั้งใจ ความกล้า ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความพยายามแบบ 100% ทัศนคติแบบไม่ยอมแพ้ และแน่นอน วิธีคิดแบบคนรวย นอกจากนี้คุณยังต้องเชื่ออย่างหมดใจว่าคุณสามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ด้วยตัวเอง และนั่นเป็นสิ่งที่คุณสมควรได้รับอย่างแท้จริง

หนึ่ง ในข้อเขียนสุดโปรดของผมเป็นของ ดับเบิ้ลยู เอช เมอร์เรย์ ซึ่งเขียนขึ้นระหว่างการสำรวจเทือกเขาหิมาลัยในครั้งแรกๆ เนื้อความส่วนหนึ่งมีดังนี้

"ชั่วขณะที่ เรามุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มที่ โชคชะตาก็จะเข้าข้างเรา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลจากการตัดสินใจทุ่มเทจะเรียงรายเข้ามา เอื้ออำนวยปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า การพบปะผู้คน และความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่มีใครหน้าไหนเคยฝันว่ามันจะมาถึง"

สวรรค์จะช่วยเหลือคุณ นำทางคุณ สนับสนุนคุณ หรือแม้กระทั่งสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดกับคุณ แต่ก่อนอื่น คุณต้องมีความมุ่งมั่นมากพอ

(จาก หนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป)

เครดิต: www.oknation.net/blog/dy22/2009/08/22/entry-9
Sunday, October 10, 2010

17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่2 : คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ

คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ
คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

ถ้าคุณเล่นกีฬาหรือเกมอะไรก็ตามโดยเอาแต่ตั้งรับ คุณจะมีโอกาสชนะในเกมนั้นมากแค่ไหน? คนส่วนใหญ่คงเห็นพ้องต้องกันว่าโอกาสคงมีอยู่เพียงน้อยนิดหรือไม่ก็เป็นไปไม่ได้เลย

เป้าหมายที่แท้จริงของคนรวยคือการมีฐานะอันมั่งคั่งและมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ พวกเขาไม่ได้อยากมีเงินแค่พอใช้ แต่อยากมีเงินจำนวนมหาศาล

แล้วเป้าหมายของคนจนล่ะ?
พวกเขาอยาก "มีเงินพอสำหรับจ่ายใบแจ้งหนี้ต่างๆ ...และถ้าจ่ายได้ตรงเวลาด้วยยิ่งเป็นเรื่องปาฏิหารย์!"

เมื่อคุณตั้งใจให้มีเงินแค่พอจ่ายใบแจ้งหนี้ คุณก็จะมีเงินเท่านั้นจริงๆ...แค่พอสำหรับจ่ายเงินจำนวนนั้น ไม่ขาดและไม่เกินมาสักเซ็นต์

พวกชนชั้นกลางดีกว่านิดหน่อย...อย่างน้อยก็หนึ่งขั้น แต่เป็นเพียงระดับขั้นเล็กๆ พวกเขาดันเลือกคำๆหนึ่งมาเป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินชีวิต คำๆนั้นคือคำว่า "อยู่อย่างสบาย"

ขอบอกว่าการอยู่อย่างสบายกับการเป็นคนรวยนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อันที่จริงคนมีฐานะปานกลางมักเลือกอาหารโดยพิจารณาจากฝั่งขวาของเมนู...หรือที่เรียกว่าการสั่งโดยดูราคาเป็นหลักนั่นเอง เมื่อคุณมีฐานะปานกลาง คุณจะไม่กล้าทอดสายตามองส่วนล่างสุดของเมนู เพราะถ้าทำอย่างนั้น คุณอาจเห็นสุดยอดคำต้องห้ามในพจนานุกรมของชนชั้นกลาง นั่นคือคำว่า "ราคาตามน้ำหนัก!"

หนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดของการเป็นคนรวยคือผมไม่จำเป็นต้องดูราคาอาหารในเมนูก่อนจะสั่ง ผมกินสิ่งที่ผมอยากกินได้โดยไม่ต้องสนว่าราคาเท่าไหร่ ผมยืนยันได้เลยว่า ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนที่ผมถังแตกหรือมีฐานะปานกลาง

เราจะได้ในสิ่งที่เป็นความมุ่งหมายที่แท้จริงของเรา ถ้าคุณอยากรวย เป้าหมายของคุณต้องเป็นความร่ำรวย ไม่ใช่แค่มีเงินพอจ่ายใบแจ้งหนี้และไม่ใช่แค่พออยู่ได้สบาย ความรวยก็คือความรวย!

(จากหนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป )

17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่1: คนรวยเชื่อว่า"ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง

คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง"
คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

แน่นอนว่าใครๆก็อยากถูกล็อตเตอรี่ แม้แต่คนรวยก็ซื้อบ้างเป็นบางครั้งเพื่อความสนุก แต่ข้อแตกต่างอย่างแรกคือ คนรวยไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ด้วยเงินครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด และข้อสองคือ การถูกล็อตเตอรี่ไม่ใช่ "กลยุทธ์" หลักที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมา

คุณต้องเชื่อว่าคุณคือผู้สร้างหนทางสู่ความสำเร็จด้วยตนเอง คือผู้ที่ทำให้ตัวเองมีฐานะปานกลาง และคือผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาเงินและความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คนๆนั้นก็คือคุณ

คนยากจนมักจะเลือกที่จะสวมบทบาทผู้ถูกกระทำ แทนที่จะยืดอกรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

ความคิดอันดับต้นๆในหัวของผู้ถูกกระทำจะเป็นในทำนองที่ว่า "ฉันนี่น่าสมเพชจัง" ดังนั้นด้วยพลังแห่งความตั้งใจ เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ "น่าสมเพช" ขึ้นมาจริงๆ

แล้วคุณจะบอกได้อย่างไรเวลาคนเราสวมบทบาทผู้ถูกกระทำ? พวกเขาจะมีพิรุธที่เห็นได้ชัดอยู่ 3 ข้อ

พิรุธที่ 1 : นักกล่าวโทษ

เมื่อถามว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ร่ำรวย ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกล่าวโทษ ซึ่งหมายถึงขีดความสามารถของคุณในการโยนความผิดใส่คนอื่นๆ หรือสถานการณ์ต่างๆโดยไม่ต้องหันมาดูตัวเอง

ผู้ถูกกระทำโทษระบบเศรษฐกิจ โทษรัฐบาล โทษตลาดหุ้น โทษผู้จัดการ โทษบริษัทแม่ โทษหัวหน้า โทษลูกน้อง โทษแผนกจัดส่ง โทษคู่สมรส โทษพระเจ้า และแน่นอน พวกเขากล่าวโทษพ่อแม่ตัวเองเสมอๆ

สำหรับคนกลุ่มนี้ ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่นหรือสิ่งอื่นเสมอๆ สิ่งที่เป็นปัญหาคือสิ่งใดๆ หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวเขาเอง

พิรุธที่ 2 : นักแก้ตัว

ถ้าผู้ถูกกระทำไม่หาทางโทษคนอื่น คุณก็จะได้ยินพวกเขาพูดแก้ตัวในทำนองที่ว่า "เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไรนักหรอก"

ประเด็นก็คือ ถ้าคุณบอกสามีหรือภรรยา หรือแฟน หรือคนรัก หรือเพื่อนของคุณว่าพวกเค้าไม่ใช่คนสำคัญอะไรนัก คุณว่าพวกเขาจะอยากอยู่กับคุณต่อไปหรือเปล่า?ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ เงินก็เหมือนกันนะครับ!

ขอฟันธงเลยว่า ใครก็ตามที่บอกว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญย่อมไม่มีเงิน!

พวกเขาอาจจะเถียงข้างๆคูๆว่า "ยังไงซะ เงินก็ไม่สำคัญเท่าความรัก" เอาล่ะ มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้นะครับ หรือคุณคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันล่ะ ท่อนแขนหรือท่อนขา? บางที่มันอาจสำคัญทั้งสองอย่าง

แม้ว่าความรักจะช่วยให้โลกหมุนไป แต่มันก็ไม่สามารถช่วยให้คุณสามารถจ่ายค่าสร้างโรงพยาบาล โบสถ์ หรือบ้านได้เลย และมันก็ไม่ทำให้ใครอิ่มท้องด้วย

พิรุธที่ 3 : นักบ่น

ผมเชื่ออย่างหมดใจในกฎครอบจักรวาลที่กล่าวว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะยิ่งเพิ่มขยายผล"

เวลาคุณบ่น เห็นได้ชัดว่าคุณเพิ่มความสนใจไปยังเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิต และเนื่องจากคุณจะได้ในสิ่งที่คุณให้ความสนใจ คุณก็จะได้รับเรื่องร้ายๆในชีวิตมากขึ้นไปอีก

จะว่าไป ผมขอบอกว่าคุณไม่ควรเข้าไปคลุกคลีกับพวกชอบบ่น เพราะพลังงานในด้านลบเป็นโรคติดต่อ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากชอบขลุกอยู่กับพวกชอบบ่น เพราะอะไร? เหตุผลง่ายๆคือ พวกเขากำลังรอให้ถึงตาตัวเองบ่นบ้างน่ะสิ!

ตั้งแต่นี้ไป ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังกล่าวโทษ หาข้อแก้ตัว หรือพร่ำบ่น จงรีบละและเลิกในทันที เตือนตัวเองเอาไว้ว่าคุณกำลังลิขิตชีวิตตัวเอง คุณสามารถดึงดูดความสำเร็จไม่ก็ความผิดพลาดเข้ามาในชีวิตได้ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณต้องเลือกสรรการใช้ความคิดและถ้อยคำอย่างชาญฉลาด

โลกนี้ไม่มีผู้ถูกกระทำที่ร่ำรวยได้หรอกครับ

(จากหนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป )


เครดิต:www.oknation.net/blog/dy22/2009/08/22/entry-11

หนทางรวย

พ่อรวยสอนลูก

รวย รวย รวย

รวยอย่างเดียว